สมัครสมาชิก ลงชื่อเข้าใช้
Discuz Thai หน้าแรก

โปรไฟล์ของ maka_po https://discuzthai.com/?38577 [บุ๊คมาร์ก] [คัดลอก] [แชร์] [RSS]

บล็อก

คำสาป ราชวงศ์โรมานอฟ

เข้าชม/อ่าน 486 ครั้ง2011-4-23 16:44 |เลือกหมวดหมู่:ทั่วไป

คำสาป ราชวงศ์โรมานอฟ

               
               
แต่ไหนแต่ใดมา ราชวงศ์โรมานอฟทุกพระองค์ที่ประทับในวังปีเตอร์สเบิร์กมีความภาคภูมิใจว่า ทรงสืบเชื้อสายมาจากสวรรค์ พวกเขาเป็นเสมือนลูกหลานของพระเจ้า

               ทว่าซาร์นิโคลาสที่2กลับไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว เขาหวาดกลัวที่จะขึ้นครองราชย์ เมื่อเขาได้เห็นเสด็จปู่ถูกลอบสังหารเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงระเบิด และเมื่อพระบิดาของซาร์ คือ อเล็กซานเดอร์ที่3สิ้นพระชนม์ลง ซาร์ถึงกับคร่ำครวญว่า"ฉันไม่อยากเป็นกษัตริย์ ฉันไม่รู้เรื่องการปกครอง ฉันกลัว"

               อย่างไรก็ตามก่อนที่ซาร์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ก็ทรงมีผู้คอยให้กำลังใจข้างกายเสมอ เธอคือเจ้าหญิงเยอรมันทรงโฉมนาม อเล็กซานดรา เฟโดรอฟนา ทั้งสองพบกันครั้งแรกในงานฉลองสมรสกลางฤดูหนาว ณ วังปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งในขณะนั้นทั้งคู่อายุเพียง16ชันษา

                ปี ค.ศ.1896นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซานินาปกครองอาณาจักรรัสเซียอันไพศาล พิธีราชาภิเษกนั้นจัดอย่างยิ่งใหญ่ดั่งเทพนิยาย เสียงกึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่พระราชวังเคลมลินด้วยเหล่าทหารองครักษ์นับพัน มีการดื่มฉลองกันทั่วบ้านทั่วเมือง

               แต่ก็มีเหตุนองเลือดได้สิน่า....

               เหตุผลในวันนั้นมีการแจกเบียร์และขนมปังฟรี พอดีช่วงนั้นรัสเซียยากจนข้นแค้นขนาดหนัก ประชาชนก็เลยแย่งของแจกอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฏรทั้งชายหญิงและเด็กโดนเหยียบด้วยไปกว่าพันคน!

               ลางร้าย!นับเป็นการเริ่มต้นรัชการใหม่ที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง และมันยังหลอกหลอนสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์นับตั้งแต่บัดนั้น

               สิ่งปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของซาร์คือการมีเจ้าชายรัชทายาทผู้ที่จะเป็นประมุขคนต่อไป แต่เหมือนสวรรค์ล่มเพราะองค์กลับได้แต่พระราชธิดาถึง4พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย

               ซาร์และซาริน่ายังไม่ได้ละความพยายาม ทั้งสองร่วมกันสวดอ้อนวอนขอพรจากพระเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย จนกระทั้ง ในวันที่5สิงหาคม1904พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาทนาม อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ อย่างสมพระทัย

               แต่ดั่งสรรค์ล่มอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อย ทรงมีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนอาจซ็อกสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ยังไม่มีทางรักษา!

               ซาร์และอเล็กซานดราต้องทุกข์ระทมอีกครั้ง!

               เรื่องนี้ซาร์ทรงปิดเป็นความลับ ห้ามไม่ให้คนในวังล่วงรู้เด็ดขาด ยกเว้นคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

               ระหว่างนั้น พระองค์และพระราชินีได้ทรงเสาะแสวงหาหมอฝีมือดีมารักษารัชทายาท ด้วยเหตุนี้ทั้งสองเริ่มฝักใฝ่ในศาสนาตลอดจนมนต์ วิชาต่างๆ

               และการเสาะแสวงหานึ้ ได้นำมาซึ่งหายนะในเวลาต่อมา

               

               รัสปูติน

                
                ไม่รู้ว่าบุคคลลึกลับผู้นี้มาจากจากไหน จู่ๆ ก็เขามาในวังในขณะที่อเล็กซานดราทรงเชื้อเชิญให้เข้าไปรักษา
ในปี พ.ศ. 2448เจ้าชายน้อยที่กำลังบรรทมเจ็บปวดรวดร้าวจากอาการเลือดตกจนใกล้สิ้นพระชนม์

               จากหลักฐานประวัติของรัสปูตินพบว่า.........................

               กริกอริ รัสปูติน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2374 ( สมัยรัชกาลที่ 3 ของไทย ) เกิดในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย โดยเป็นบุตรคนที่สามของอีฟิม อากอฟเลวิช และแอนนา อีกอรอฟน่า ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองโปดรอฟสโกยี  (สันนิษฐานว่า ครอบครัวนี้อาจเป็นพวกมองโกลจากเมืองโตบอลสก์ ) ในตอนเป็นหนุ่ม รัสปูตินมีความกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน ดื่มเหล้าหนัก และเสเพลเรื่องผู้หญิง ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขาเป็นที่ชื่นชอบขอเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ ( บางตำราที่กล่าวถึงรัสปูติน อ้างว่า รัสปูตินมีอวัยวะเพศยาวถึง 13 นิ้ว!!!) วันหนึ่ง ไอริน่า แดนิลอฟว่า คูบาชอฟว่าภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซียร่วมกับสาวใช้ 6 คน ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ 16 ปีไปเสียตัว หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา

               เมื่อถึงอายุ 20 ปี  รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ   ปราสโกเวีย   เฟโอ โดรอฟน่า    ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่

               จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขามีโอกาสพบขณะไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง  ได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา  ในราว พ.ศ. 2443  เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า  นิกายคลิสติ  กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก  จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา  ดังนั้น  พวกเขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่างเกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์และการบูชายัญ  ผู้คนในหมู่บ้านบ้านเกิดของรัสปูตินไม่เห็นด้วยและรังเกียจพฤติกรรมเหล่านี้ ของเขา จึงขับไล่รัสปูตินออกจากหมู่บ้าน ทำให้เขาต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซียมานานหลายปี  แต่ยังไม่วายยังคงทำประกอบการเยียวยารักษาโรคโดยวิธีพลังจิต  และชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถารพิธีกรรมเหล่านี้ประกอบด้วยการดื่มเหล้า การร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเป็นหมู่คณะ ( สวิงกิ้งนั่นเอง ) ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ( โปรดนึกภาพตามว่าสภาพจะเป็นอย่างไร ) ยุ้งข้าว หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง  หลักนิยมของรัสปูตินในการไถ่บาปผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์นั้น  ทำให้สตรีมากมายที่ศรัทธาในนิกายนี้ต้องบำเรอความสุขให้เขาเสียก่อนเป็นขั้นแรก แม้ว่ารูปโฉมของ "นักบุญจอมราคะ"  แสนจะสกปรกเลอะเทอะ   โรเบิร์ต  แมสซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติจึงบันทึกไว้ว่า"การร่วมเพศกับคนบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือสกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น"

                

                การตายของรัสปูติน

                
               ไม่รู้ว่ารัสปูติน ใช้วิธีอะไร จู่ๆ อาการเลือดตกของเจ้าชายน้อยก็หายจนปลิดทิ้ง
!

               หลายคนเชื่อว่า เขาใช้พลังจิตในการรักษาอาการป่วย

               หลายคนแย้งว่านี้อาจเป็นเหตุบังเอิญ

               แม้จะจะด้วยเหตุผลใดก็ตามการรักษาเยียวยานั้นมันได้ผลตลอดมาถึง12ปี เรียกว่าถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลเมื่อใดต้องขอรัสปูตินช่วยทุกครั้ง

               พระราชินีทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับพลังอำนาจจากพระเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามาพำนักอยู่ในราชฐานชั้นใน พื่อดูแลรักษาเจ้าชายน้อยอย่างใกล้ชิด

               ที่นี้เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาสคลุกคลีกับสาวกำนัลในราชวัง จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวว่าเขามีสัมพันธ์สวาทต่อนางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง หรือแม้กระทั้งพระราชินีอเล็กซานดราก็ไม่เว้น!

               ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1ใน ค.ศ.1914พระเจ้าซาร์เห็นความสำคัญต่อการศึกในครั้งนี้ จึงทรงร่วมในการบัญชาการการรบด้วยตัวพระองค์เอง จึงเป็นเหตุให้รัสปูตินกระทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจหนักขึ้นเพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของพระราชินี

               คนที่เต็มใจเป็นคู่ขาในทางกามารมณ์ของรัสปูตินมีอยู่หลายคน แต่มักจะไม่ปรากฏนามอย่างเปิดเผย ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีชื่อเสียง เช่น นักแสดงหญิง ภรรยาทหาร และเมื่อไม่มีใครอื่นที่จะใช้ระงับตัณหาราคะอันมหาศาลของเขาได้แล้วละก็ สาวใช้ในโรงแรมหรือโสเภณีก็ได้   สุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัสปูติน คือ องค์ซารีน่า นั่นเอง   สำหรับองค์ซารีน่าแม้จะไม่ถึงกับตกเป็นทาสสวาท แต่ก็มีลายพระหัตถ์อันเพราะพริ้งถึงรัสปูตินให้คำมั่นว่าจะ "...จูบมือของพระคุณเจ้าและแนบศีรษะของลูกกับไหล่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้า...ผู้หญิงซึ่งรัสปูตินผู้อดทนมากที่สุดคือ ภรรยาของเขาเอง ปราสโกเวีย ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับการนอกใจของเขามาชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น หล่อนเพียงแต่ยักไหล่และพูดอย่างใจกว้างว่า "เขามีเพียงพอสำหรับคนทั้งหมด

               นับวันราชวงศ์โรมานอฟเริ่มเสื่อมสลาย

               ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า

               "พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับพระราชวงศ์โดยการผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดสิ่งใด พระนางก็ทรงปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้นเมื่อรัสปูตินแนะนำใครมาดำรงตำแหน่งที่สูงๆ หรือขับไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกจากวัง พระนางก็ทรงทำตามดังนั้น"

               ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำให้เชื่อพระวงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งทนไม่ไหวกับการกระทำของเขา โดยเฉพาะเจ้าชายยูสโซบอฟ ซึ่งเป็นเชื่อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินไปยังห้องใต้ดิน จากนั้นก็ให้ดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมและกินแป้งราดครีมอันโอชะ ขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคนสบายๆ

               แต่รัสปูตินไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งที่ดื่มทั้งกินสารพิษเข้าไปแล้วก็ยังมีท่าทีปกติ ยูสโซปอฟแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชายชักปืนรัเวอลเวอร์ออกมากระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ สิ้นเสียงปืน ยูสโซบอฟเข้าไปก้มดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตาจ้องถมึงทึงพลางคำราน"แก ไอ้บัดซบ"

               ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น"มันไม่ตาย!มันยังมีชีวิต!"

               ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตนเองขึ้นได้ แต่รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซออกไปสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่มผู้วางแผนฯวิ่งระดมยิงตามหลังอย่างบ้าคลั่ง แต่กระสุนไม่สามารถปลิดชีพนักบวชพลังจิตได้ สุดท้ายกลุ่มผู้วางแผนฯไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงจำเป็นต้องจับร่างของรัสปูตินมัดและโยนลงในน้ำเนวาที่ไหลผ่านนครเซนต์ปีเตอร์สเบริร์กอากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง

               ภายหลังมีการพบศพของรัสปูติน เขาสามารถแก้มัดด้วยตนเอง ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน เขาตายเพราะจมน้ำ

               มีเรื่องตลก หลังจากการเสียชีวิตของรัสปูติน แพทย์ทำการชันสูตรได้ตัดเจ้าโลกออกและขวางทิ้ง(ไม่รู้ว่าทำไมถึงแค้นนักหนา)

               สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินที่ถูกโยนไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บ"สิ่งที่ถูกเหวี่ยงทิ้งไปให้แก่สาวใช้คนหนึ่ง และปรากฏว่าได้พบตัวสาวใช้ผู้นั้นที่ปารีสในปี พ.ศ. 2511 หล่อนยังเก็บรักษา"สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมดไว้ใน~เซ็นเซอร์~บไม้ขัดมัน

               ปัจจุบัน เจ้าโลกของรัสปูตินถูกจัดแสดงอยู่ที่คลินิคแห่งหนึ่งในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คุณหมออีกอร์ เคนียจิน ผู้จัดแสดงยืนยันว่าอวัยวะชิ้นนี้เป็นของ กรีกอรี รัสปูติน นักบวชผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักสมัยราชวงศ์โรมานอฟ และอ้างว่าเขาได้รับอวัยวะดังกล่าวมาจากนักสะสมของโบราณชาวฝรั่งเศส ทั้งนี้เคนียจินตั้งใจว่าจะสะสมอวัยวะเพศชายอีก10,000ชิ้นเพื่อขยายคอลเล็กชันของเขา

                
                ข่าวความตายของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรสร้างความโศกแก่อเล็กซานดรายิ่งนัก ไม่ใช้เพราะเสียคนสนิท แต่เนื่องจากก่อนหน้าที่รัสปูตินจะตายไม่นาน เขาได้บันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ว่า

               "ขอได้ทรงรับรู้ว่า ถ้าหากเชื่อพระวงศ์ใดทำให้หม่อนชั้นตาย พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ในสองปี จากฝีมือของประชาชนในรัสเซีย"เกรกอรี รัสปูติน

               มีนาคม1917ไม่ถึง3เดือน หลังการตายขอ งรัสปูติน กระแสการปฏิวัติเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันมาถวายฏีกาให้ปรับปรุงระบบการบริหารประเทศ แต่องค์รักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์จำใจต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัว และไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและทุรกันดาล

               นี้เป็นชะตาที่พลิกผันชีวิตอันสูงสุดมาต่ำสุดที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง

               

               บันทึกจากป้าโอลก้า

               บันทึกนี้ตัดตอนจากบันทึกความทรงจำของป้าโอลก้า ผู้ซึ่งหลบหนีไปจากประเทศรัสเซียไปอยู่แคนาดาในช่วงสงครามเมืองเกิดขึ้น (ผู้เขียนก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่น่าจะเป็นคนรับใช้ราชวงศ์มั้ง)

               อนาสตาเซียมีอายุย่างเข้าสิบเจ็ดปี เมื่อวันที่18มิถุนายน ค.ศ.1918แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับตรงกันข้าม ทุกคนหมดความกระตือรือร้นที่จะจัดงานวันเกิดให้ หน้าต่างทุกบานถูกปิดเงียบ อาหารที่ทานก็มี ขนมปัง ชา และของอื่นๆ ที่พอมีเหลือ

               พวกเราได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอกวันละหนึ่งครั้งเท่านั้น เมื่อเดินออกไปที่สวนก็เห็นพระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กอยู่ เพราะยังไม่ฟื้นไข้ดีจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเมืองโทโบลส์ ทหารยามคอยควบคุมสังเกตการณ์พวกเราตลอดเวลา ประตูทุกบานในทุกห้องนอนแม้กระทั้งห้องน้ำถูกถอดออก ผนังห้องน้ำถูกปกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ อนาสตาเซียและครอบครัวของเธอเริ่มหมดความหวังและเบื่อหน่ายต่อสถานที่ จนบางครั้งอยากจะหนีไปเสียให้พ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าซาร์ทราบดีว่าพวกบอลเซวิคกำลังต่อสู้อย่างในสงครามกลางเมืองกับทหารที่จงรักภักดีต่อพระองค์คือกองทัพฝ่ายขาว ถ้าพวกฝ่ายขาวชนะและยึดเมืองเอ็กคาเทอรินเบิร์กได้ครอบครัวของท่านก็ปลอดภัย

               ราวเที่ยงคืน16กรกฎาคม1918ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก มีคนมาแจ้งข่าวว่าเกิดการต่อสู้อย่างหนักในสงครามกลางเมือง เพื่อความปลอดภัยของแต่ละคน ทุกคนจะต้องปลอมแปลงตัวและหลบอยู่ในบ้านตรงจุดที่หาพบได้ยาก พระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กลงไปชั้นล่างตามด้วยอเล็กซานดรพร้อมกับบุตรสาวอีก4คน และหมอประจำตัวของพระเจ้าซาร์ คนรับใช้อีก3คน อนาสตาเซียอุ้มจิ่มมี่น้อยตามมาด้วย จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเป็นผู้นำทางให้พวกพระเจ้าซาร์ให้ไปหลบซ่อนในห้องเล็กๆ ในห้องนั้นไม่มีเก้าอี่เลย ทุกคนต้องนั่งบนพื้น จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ออกไปจากบ้าน สักครู่ต่อมาเขากลับมาพร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่ง จิมมี่หยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาอ่าน ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขัน

               "ครอบครัวของท่านทุกคนต้องถูกประหารชีวิต"

               "นี่!อะไรกันจิมมี่?"พระเจ้าซาร์ร้องถามขึ้นอย่างตระหนก

               จิมมี่ไม่ตอบ กลับดึงปืนมาจากซองแล้วยิงที่เศียรของพระเจ้าซาร์ชนิดเผาขน เสียงปืนระเบิดดังกึกก้องในห้องนั้น ทุกคนไม่มีโอกาสแม้แต่วิงวอนขอร้องชีวิตกับพวกทหาร ลูกกระสุนของทหารต่างปลิวว่อนภายในห้อง อนาสตาเซียกับแมรี่ก้มหัวลงหลบกระสุนและซุกตัวอยู่ข้างผนัง พวกทหารยังระดมยิง จนกระทั้งเสียงหวีดร้องเงียบลง

               ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมประหารชีวิตก้าวเดินสำรวจ พบว่าเจ้าชายอเล็กยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ยกปืนพกขึ้นยิงหัวอีก2-3นัดเป็นอันเสร็จพิธี

               และเป็นจุดสิ้นสุดราชวงศ์โรมานอฟที่ปกครองราชวงศ์รัสเซียอันยาวนานด้วย

               ศพทุกศพถูกห่อด้วยผ้าและจับโยนราวกับขยะไม่ปานขึ้นไปยังรถบรรทุกที่จอดรถรออยู่ข้างนอก และขับหายไปในความมือ

               อีก8วันต่อมา กองทัพขาวของพระเจ้าซาร์ก็สามารถยึดเมืองเอ็กคาเทอรินเบิร์กไว้ได้ พวกทหารขาวได้เข้าไปสำรวจห้องที่มีการสังหารหมู่ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ เห็นรอยเลือดและรอยกระสุนปืนมากมายตามฝาผนังบ้าน นอกจากนี้ยังพบแหวนไข่มุกของอเล็กซานดรา เข็มขัดหนังของพระเจ้าซาร์ หมวกของอเล็ก

               แต่ไม่รู้ว่าร่างของพวกเขาไปอยู่ที่ไหน

               
                
เจ้าหญิงลึกลับ

               หลายปีต่อมา จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวในยุโรป เธออ้างว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ธิดาคนสุดท้องของะเจ้าซาร์ เธออ้าวว่าเธอรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ในบ้านมรณะนั้น เมื่อเธอรอดชีวิตมาได้เธอเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น แอนนา แอนเดอร์สัน

               คำอ้างของเธอนั้น เป็นจริงมากน้อยเพียงใด

               จากหลักฐานเอกสารทางรัสเซีย มีประกาศแค่ว่าพระเจ้าซาร์และเจ้าชายอเล็กถูกประหารพระชนม์ชีพ

               แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเซริน่าและเจ้าหญิงทั้งหลายเลย

               เป็นไปได้ไหมที่ว่า ทหารทำหน้าที่ประหารได้ช่วยอนาสตาเซียเอาไว้

               มีหลักฐานบางชนิดพบว่าระหว่างการควบคุมตัวอันยาวนานนั้น ได้ก่อความสัมพันธ์ระหว่างทหารหนุ่มกับเจ้าหญิงผู้ทรงโฉม และเขาคนนั้นอาจช่วยเธอไว้จากการสังหารหมู่ในคืนมรณะนั้น

               แต่ที่แน่ๆ การพิสจูน์ข้ออ้างของแอนนา ไม่เป็นผล จนกระทั้งเธอเสียชีวิตในปี1984ที่สหรัฐ โดยเธอยังยืนยัน นอนยังมาตลอดว่า เธอคือเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

               แต่อีก7ปีต่อมา ในเดือนกรกฎาคม มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เมื่อรัฐบาลรัสเซียได้ขุดค้นพบโครงกระดูก8ร่าง ในป่าลึกไซบีเรีย ทั้งหมดฝังอยู่ในหลุมตื้นๆ

               จาการทดสอบดีเอ็นเอ สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นโครงกระดูกของตระกูลโรมานอฟ และจากรอยกระสุนบ่บอกว่าเกิดจากการสังหารหมู่ใน ค.ศ.1818แต่มี2คนที่ไม่ระบุตรงไหนและหนึ่งในนั้นคือเจ้าหญิงอนาสตาเซียที่ไม่รู้หายไปไหน และสองคือเจ้าชายอเล็ก

               แต่เรื่องนี้ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมการประหารบอกวา สองคนนั้นเขาเผาทิ้งทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่มายืนยันได้

               ท้ายสุด หลักการมรณกรรมของแอนนา แอนเดอร์สันได้มีการตรวจDNAของเธอไปตรวจสอบกับDNAของราชวงศ์โรมานอฟ ในปี ค.ศ.1992

               เธอไม่ใช้สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟ เธอไม่ใช้อนาสตาเซีย

               สมบัติของราชวงศ์โรมานอฟหลายชิ้นสูญหายไปในระหว่างทางในระหว่างการปฏิวัติ ค.ศ.1917บางชั้นที่หาค่ามิได้ ถูกเก็บไว้ในพระราชวังเครมลินที่มอสโคว์ เป็นตัวแทนที่ยังเหลืออยู่ของราชวงศ์ที่สูญสิ้นไม่หวนคืนมา

               ส่วนรัสปูตินนั้นเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ความชั่วร้าย เป็นคนเลวที่โลกไม่มีวันลืม ในฐานะมีส่วนให้ราชวงศ์โรมานอฟล้มสลาย

               ตลอดกาล



อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=219485&chapter=6#ixzz1KL1CcT5x

อืม..ดีๆ ใช้ได้

อะไรก็ไม่รู้

เห็นด้วยๆ

ซึ้งจังเลย

ขำฮาตรึม

ความคิดเห็น (0 ความคิดเห็น)

facelist doodle วาดภาพ

คุณต้องลงชื่อเข้าใช้ก่อนจึงจะสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ลงชื่อเข้าใช้ | สมัครสมาชิก

รายชื่อผู้กระทำผิด|Archiver|ดิสคัส ไทย Follow us: Become a fan on facebook. Follow us on Twitter.

GMT+7, 2024-5-19 12:46

Powered by Discuz! X3.4, Rev.66

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud. Licensed

ขึ้นไปด้านบน