Discuz Thai

 ลืมรหัสผ่าน
 สมัครสมาชิก

ข้อตกลงการใช้งานกระดานข่าวดิสคัสไทย DiscuzThai Agreement (English Version) ประกาศดิสคัสไทย - ทำเนียบดิสคัสภาษาไทย

Discuz! X3.5 Thai R20240520 Rev.9 (NEW) [วิดีโอช่วยสอน] อัปเกรด Discuz! X3.4 เป็น X3.5 Discord ของ Discuz! Thai Community อย่างเป็นทางการ

Discuz! X3.4 Thai R20220811 (REV.75) สิ้นสุดการสนับสนุน Discuz! X3.4 ภาษาไทยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (ขอแนะนำให้อัปเกรดเป็น X3.5 แทน)

ค้นหา
แท็กยอดนิยม: ดิสคัสภาษาไทย Discuz Thai
ดู: 4470|ตอบกลับ: 7

[Live Talk] 7 ความเข้าใจผิดที่แม้แต่~เซ็นเซอร์~ังเชื่อ !!

[คัดลอกลิงก์]
delibledelfire โพสต์ 2008-1-21 15:22:51 |โหมดอ่าน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 ธันวาคม 2550 10:05 น. 1 W7 G/ a4 Y. [* ?8 X7 V+ `0 b, i
ไลฟ์ไซน์/บริติชเมดิคัลเจอร์นัล ? จริงหรือเมื่อตายไปแล้วเล็บและผมยังยาวได้ รวมถึงคำแนะนำของแพทย์อย่าง ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วแล้วจะดี อ่านหนังสือในที่แสงสลัวไม่ดีต่อสายตา รวมทั้งเราใช้สมองแค่ 10% เองเท่านั้นหรือ เหล่านี้งานวิจัยใหม่บอกว่าเป็น ?มายาคติ? ที่แม้แต่คุณหมอเองก็ยังเชื่อ !!% Q& v5 v' T( O8 C' F; B: m
      
; ^' u- ?1 A- l/ k0 V% T! k       ดร.อารอน แคร์รอล (Dr. Aaron Carroll) และ ดร.ราเชล ฟรีแมน (Dr.Rachel Vreeman) 2 กุมารแพทย์ จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอินเดียนา (Indiana University School of Medicine) สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อปฏิบัติและความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ จนออกมาเป็นรายงาน ?มายาคติทางการแพทย์? ผ่านวารสารบริติชเมดิคัลเจอร์นัล (British Medical Journal) ฉบับล่าสุด โดยแจกแจงออกมาเป็น 7 ข้อคือ
% |5 d7 k! v8 g/ |      
0 t3 a) J% y8 a; a0 l, r9 o3 d8 @       1.มนุษย์ใช้สมองแค่ 10% เท่านั้น6 B7 l1 J. q$ a  r0 J
       ; q! j/ ?  p+ b5 e2 d- o
       ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1900 เชื่อกันว่าสมองของคนเราทำงานเพียงแค่ 10% ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ใครคนหนึ่งกุขึ้น เพื่อที่จะต้องการครอบงำกลุ่มคนหมู่มาก กระทั่งวิทยาการก้าวหน้า นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาสมองจากภาพสแกน ก็ไม่พบว่ามีสมองส่วนไหนที่อยู่นิ่งเฉย หรือว่ามีเซลล์สมองในบริเวณไหนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และจากการศึกษากระบวนการทางเคมีของเซลล์สมองบ่งชี้ว่าไม่มีสมองบริเวณไหนที่ไม่ทำงาน และจากการศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองยังบ่งชี้ว่าสมองที่ถูกทำลายเกือบทั้งหมดนั้นจะมีบริเวณจำเพาะที่เมื่อถูกทำลายแล้วจะมีผลต่อการสมรรถภาพร่างกาย
3 P+ _: l. N1 |# ]( F      
% O. x+ h" ~' S3 _- @5 T% s/ ?       2.ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
( t! [6 x6 K/ X" v: T      
+ G# S! @2 W6 w4 t. G       "ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าคนเราต้องการน้ำมากมายขนาดนั้น" ดร.ฟรีแมนระบุ ซึ่งเธอคาดว่าความเชื่อนี้มีที่มาจากสภาโภชนาการของสหรัฐฯ เมื่อปี 2548 ที่แนะนำให้ประชาชนบริโภคของเหลววันละ 8 แก้ว แต่ในปีต่อๆ มาหลังจากนั้น คำว่า "ของเหลว" จำกัดอยู่เฉพาะแค่ "น้ำเปล่า" ไม่ได้หมายรวมถึงน้ำผัก ผลไม้ กาแฟ หรือว่าของเหลวอื่นๆ เข้าไปด้วย3 y) L; ^/ ^6 U. b
      
" J! p  O# [% E! Y$ m# [. u' P       อีกหนึ่งต้นตอของความเชื่อนี้น่าจะมาจากเฟรเดอริค สแทร์ (Frederick Stare) โภชนากรที่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มวันละ 6-8 แก้ว ซึ่งครอบคลุมทั้งน้ำเปล่า ชา กาแฟ นม เบียร์ และซอฟดิงก์อื่นๆ ต่อมาการแนะนำที่ปราศจากข้อมูลอ้างอิงของสแทร์ถูกหักล้างด้วยข้อมูลของไฮนซ์ วาลติน (Heinz Valtin) ที่รายงานไว้ในวารสารอเมริกันเจอร์นัลออฟฟิสิโอโลจี (American Journal of Physiology) ที่ว่าการบริโภคนม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ เป็นประจำในแต่ละวันเท่านี้ร่างกายก็ได้รับของเหลวเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ในทางตรงกันข้าม การดื่มน้ำมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเมื่อเกิดภาวะสารน้ำในร่างกายมากผิดปกติจนเกิดเป็นพิษ หรือที่เรียกว่า "น้ำเป็นพิษ" (water intoxication)
 เจ้าของ| delibledelfire โพสต์ 2008-1-21 15:23:25
3.ตายไปแล้วแต่เล็บและเส้นผมยังคงงอก. ]8 ?( M5 v4 ^* }% f. B
       ( m; d* |0 s) s5 c/ a
       ผู้แต่งหนังสือเรื่อง "แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง" (All Quiet On The Western Front) บรรยายไว้ว่าเล็บของเพื่อนคนหนึ่งยาวขึ้นหลังจากพิธีฝังศพผ่านไปแล้ว ส่วนจอห์นนี คาร์สัน (Johnny Carson) นำความเชื่อนี้มาเขียนเป็นเรื่องขำขันจนกลายเป็นความเชื่ออมตะว่า หลังจากตายไปแล้ว 3 วัน ผมและเล็บของเราจะงอกใหม่
9 [1 N* w. a" \# \4 h1 J/ N- T# S       & Y4 Y0 N- G. O4 ]: q
       แพทย์ส่วนใหญ่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนจะเห็นว่า ที่จริงแล้วขณะที่ศพกำลังแห้งลง เนื้อเยื่อส่วนที่นุ่มอย่างผิวหนังก็จะหดตัว ทำให้เผยชิ้นส่วนของเล็บมากขึ้น ทำให้ดูว่ายาวออกมา เช่นเดียวกันเส้นผม ซึ่งจะสังเกตเห็นผิวหนังหดตัวได้น้อยกว่า อย่างไรก็ดีฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้ผมและเล็บยาวนั้นไม่มีทางทำงานหลังจากเจ้าของร่างสิ้นใจไปแล้วเป็นแน่# ~2 ^- }' V9 J' S7 [- p7 Q% L" }
       - N1 N4 x; ^; A; p1 ]* C
       4.ผมหรือขนงอกเร็วกว่าเก่าเมื่อโกน แถมหยาบและสีเข้มขึ้นด้วย  w* j1 \. `0 [' V( W
       5 b& }8 z! W2 o8 M4 H: g0 P
       ปี 2471 นักวิทยาศาสตร์ทดลองโกนผมแล้วเปรียบเทียบผมที่งอกใหม่กับผมที่ไม่ได้โกน ผลปรากฏว่าผมที่งอกขึ้นมาแทนผมที่ถูกโกนไปก่อนหน้านั้นไม่ได้มีสีเข้มหรือเส้นหนา หรืองอกเร็วไปกว่าผมปกติเลย การทดลองครั้งหลังๆ ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน ที่จริงแล้วเมื่อผมถูกโกนและงอกใหม่เป็นครั้งแรก จะยังเป็นเส้นผมทื่อๆ ตรงส่วนปลาย แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ปลายผมที่เคยแข็งทื่อก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพและอ่อนนุ่มขึ้น ส่วนที่มองเห็นเป็นสีเข้มกว่าปกติ เนื่องจากว่าในตอนแรกผมเส้นนั้นยังไม่ถูกแดดเผาทำลายให้สีซีดจางลง( t5 A. y& X" E
       " R* c2 g3 @3 K7 a2 P5 |
       5.อ่านหนังสือในที่แสงน้อยทำให้สายตาเสีย' ?, D( i0 G/ n3 \4 N  R+ Q! \, C
      
. U5 v3 b+ J% @8 H9 R2 w& ]- t       เรื่องนี้เป็นที่เชื่อถือกันอย่างแพร่หลาย และผู้ใหญ่ก็มักจะห้ามไม่ให้เด็กๆ อ่านหนังสือในที่มืดหรือที่ที่มีแสงน้อย มิฉะนั้นแล้วจะสายตาสั้นและต้องสวมแว่น เป็นต้น ความเชื่อนี้น่าจะมาจากจักษุแพทย์ที่บอกว่าหากใช้สายตาในที่แสงสว่างน้อยกว่าปกติจะมีผลต่อการรับภาพของประสาทตา ทำให้อัตราการกระพริบตาลดลง ตาแห้งและระคายเคือง0 ~' J# P: b8 @, |
       0 U- P+ b& ?2 G3 R' o4 r
       อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนักวิจัยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตายังไม่พบหลักฐานชี้ชัดว่าการอ่านหนังสือในที่มืดจะทำลายสุขภาพตาอย่างถาวร แต่สามารถทำให้ดวงตาย่ำแย่และการมองเห็นด้อยลงเป็นเวลาชั่วครั้งชั่วคราวได้
 เจ้าของ| delibledelfire โพสต์ 2008-1-21 15:24:02
6. รับประทานไก่งวงทำให้ง่วงนอน6 B/ m, `1 G- z
      
* m; @% V  ^& u/ \  i, ?) P1 l       เดิมทีแพทย์และนักวิจัยต่างก็เชื่อว่าหากรับประทานไก่งวงแล้วจะรู้สึกง่วงนอน แต่พบว่าสารทริปโตแฟน (tryptophan) ในไก่งวงนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ผู้ที่รับประทานไก่งวงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ทว่าในไก่งวงไม่ได้มีทริปโตแฟนมากไปกว่าไก่ทั่วไปหรือเนื้อวัวเลย มีเท่าๆ กันประมาณ 350 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 115 กรัม ขณะที่แหล่งโปรตีนอื่นๆ อย่างเนื้อหมูหรือชีสมีทริปโตแฟนมากกว่าไก่งวงเสียอีกเมื่อเทียบเป็นน้ำหนัก เพียงแต่ว่าผู้คนนิยมบริโภคไก่งวงกันมากเป็นพิเศษในช่วงวันหยุด และยังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย เหตุนี้จึงทำให้รู้สึกง่วงและหลับง่ายกว่าปกติ, q  m4 }) l. r% {
      
5 y& E# P  X& R% p1 [8 x       นอกจากนี้แพทย์ยังนำกลไกในร่างกายมาอธิบายได้ว่าอาการง่วงนอนมักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาหารมื้อนั้นเป็นเนื้อสัตว์เสียส่วนใหญ่ หรือมีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาก จะกระตุ้นให้รู้สึกง่วงนอนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ลดลง2 m  b1 ^9 B0 h! x* J; R3 ^
       : `* `1 O; ?0 U
       7. ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในโรงพยาบาล เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย4 m6 W7 ~! O+ a7 n
      
8 w' y0 r0 f# D6 B       ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสียชีวิตเนื่องมาจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่พบว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์การแพทย์บางอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น เครื่องควบคุมการให้สารละลายในผู้ป่วย (infusion pump), เครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของระบบหัวใจ (cardiac monitor)1 q) A3 i. K3 f2 u
         M5 S! `# j6 M$ n6 J: J. r+ ]
       ทว่าขณะที่ยังไม่มีรายงานใดๆ ยืนยันถึงอันตรายของการใช้โทรศัพท์มือในโรงพยาบาล ในปี 2545 มีการเผยแพร่เรื่องที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือในสถานพยาบาลแห่งหนึ่งแล้วปรากฏว่าเครื่องควบคุมการให้สารอะดรีนาลีน (adrenaline) ทำงานผิดปกติ หลังจากนั้นวอลล์สตรีทเจอร์นัล (Wall Street Journal) ก็นำก็รายงานมากว่า 100 รายงานที่ระบุว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์แพทย์ในช่วงก่อนปี 2536 ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือในโรงพยาบาล1 l+ g6 n- D: ?
       " C- r# s' t1 ^' w
       เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาวิจัยถึงเรื่องดังกล่าวในประเทศอังกฤษ พบว่าโทรศัพท์มือถือรบกวนการทำงานของอุปกรณ์แพทย์เพียง 4% เท่านั้น และต้องอยู่ห่างจากอุปกรณ์นั้นภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร และจากการทดสอบการใช้โทรศัพท์มือถือ 300 ครั้งในห้องพักพื้น 75 ห้อง ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลย ในทางตรงกันข้ามพบว่าแพทย์ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนสามารถสื่อสารได้ชัดเจน และลดความผิดพลาดได้มากยิ่งขึ้น
  G' B4 H& a' d; P! }      
# _/ Z; V  W( p7 O       ?เมื่อพวกเราเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนแรก แพทย์ส่วนใหญ่จะยังไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง กระทั่งพวกเขาได้ศึกษาหลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดแล้ว เขาจึงยอมรับกันว่าที่พวกเขายึดถือมานั้นมันไม่ได้ถูกต้องไปทั้งหมด? ดร.ฟรีแมนกล่าว
acaz โพสต์ 2008-1-21 16:09:31

ตอบกลับโพสของ 3# delibledelfire

7 ความเข้าใจผิดที่แม้แต่~เซ็นเซอร์~ังเชื่อ !!7 E: c% ~; a/ O- y; R5 s
7 Y5 a- g; u* X9 s6 k4 K
อยากรู้แฮะ ไอ้ที่โดนเซ็นเซอร์นี่ มันอะไร~[41]~
 เจ้าของ| delibledelfire โพสต์ 2008-1-21 16:59:24
แค่คำว่า หมอ ยังเชื่อครับ ' |0 i) h: w5 g( J* q( [
แต่บังเอิญพิมพ์ติดกัน $ X( n1 Q7 R4 j$ `
มันก็เลย โดนเซ็นเซอร์อ่ะครับ ~(10)~
acaz โพสต์ 2008-1-21 17:06:30

ตอบกลับโพสของ 5# delibledelfire

ตอนแรก งง ว่า "หมอ" พิมพ์ติดเซ็ยได้ไง มาเจอคำว่า "ยัง" ถึงบางอ้อ ~[13]~
angelinais โพสต์ 2008-3-8 13:24:04
จริงรึนี่  ถ้ายังงั้นเราก็ไม่ต้องกินน้ำเปล่าวันละ 8 แก้วก็ได้แล้วนี่ โอ้  เป๊ปซี่จงเจริญ!!
Divaon โพสต์ 2008-4-6 02:56:29
ต้นฉบับโพสโดย angelinais เมื่อ 2008-3-8 13:24 % `$ p: Q( |" A, M
จริงรึนี่  ถ้ายังงั้นเราก็ไม่ต้องกินน้ำเปล่าวันละ 8 แก้วก็ได้แล้วนี่ โอ้  เป๊ปซี่จงเจริญ!! ...
8 K3 U' s" s: `7 }' |" p
  \% }& r9 o# s# E+ q9 X/ L7 ^9 {
ทำไมคิดเหมือนกันเลย 55555555555
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | สมัครสมาชิก

รายละเอียดเครดิต

รายชื่อผู้กระทำผิด|Archiver|ดิสคัส ไทย Follow us: Become a fan on facebook. Follow us on Twitter.

GMT+7, 2025-5-13 21:58

Powered by Discuz! X3.4, Rev.66

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud. Licensed

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้