สมัครสมาชิก ลงชื่อเข้าใช้
Discuz Thai หน้าแรก

โปรไฟล์ของ waru251 https://discuzthai.com/?25281 [บุ๊คมาร์ก] [คัดลอก] [แชร์] [RSS]

บล็อก

มนุษย์หิมะ - เยติ

เข้าชม/อ่าน 635 ครั้ง2011-5-2 17:03 |เลือกหมวดหมู่:ทั่วไป

มนุษย์หิมะ - เยติ (The Abominable Snowman) อโบมิเนเบิ้ล สโนว์แมน หรือ ที่ชาวเซอร์ปาร์เรียกว่า เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาวภูเขา มันเข้าไปพัวพันอยู่ในความเพ้อฝัน ศาสนา ตำนาน เล่ห์ลวง และ การค้า คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้ และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยบันทึกภาพไว้ และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยนักบุกเบิกในปลายยุค 1950 และ 1960 แต่ตอนนี้หลักฐานการดำรงอยู่ของมันดูเหมือนจะหนักแน่นขึ้นทุกวัน

         นักเดินทางคนหนึ่งที่จะไปยังกาฎมันฑุต้องเข้าไปพัวพันอยู่ในธุรกิจของเยติก่อนที่เขาจะไปถึงเนปาลเสียอีก สายการบินแห่งชาติเนปาลบินเฉียดไปบนเขตภูเขาที่ต่ำที่สุด ผ่านหมู่บ้านที่ตั้งกันอยู่อย่างเปะปะบนยอดเขา จากนั้นในทันทีทันใดแนวของยอดสูงสุดของเทือดเขาหิมาลัยก็ปรากฎแก่สายตาเป็นสีขาวหยัก ส่วนที่เหลือถูกกันออกไปโดยเมฆ อันเป็นแซงกรีลา หรือแดนสุขาวดี หมู่บ้านลึกลับ ชนเผ่าที่ไม่มีใครรู้จัก เยติ ทั้งหมดดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ในช่องที่ติดอยู่กับที่นั่งในเครื่องบิน มีเมนูสำหรับสายการบินเยติแอร์ไลน์ และโรงแรมใหม่ที่คุณจะได้เข้าพักสร้างโดยเวิร์ลด์แบงค์ มีชื่อว่า แยกแอนด์เยติ (YAK AND YETI , YAK หมายถึง จามรี) เยติเป็นตำนานที่มีค่าทางพาณิชย์มาก บางทียังอาจเป็นรายได้หลักของประเทศเนปาลที่ได้จากชาวต่างชาติ

         เรื่องราวของเยติซึ่งเป็นอสูรกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เป็นตำนานในหมู่ของชาวเนปาล โดยเฉพาะชาวเชอร์ปาผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ณ วัดแห่งหนึ่งในร่มเงาของเทือกเขา เอเวอร์เรส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า มักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวันอยู่เสมอในแต่ละปี คำบรรยายที่มีสีสันของการโจมตีโดยเยติถูกรายงานไปยังกาฎมันฑุ เด็กหญิงชาวเชอร์ปาผู้หนึ่งชื่อว่า ลาคห์หาโดมานิ ได้บอกเล่าเหตุการณ์หนึ่งให้กับ วิเลียม เวบเบอร์ ซึ่งเป็นอาสาสมัครของพชคอร์พส์ ที่ทำงานในหมู่บ้านมาชเชอร์มา ในแถบเอเวอร์เรส เด็กหญิงกล่าวว่า เธอนั่งอยู่ที่ริมลำธารเพื่อดูฝูงจามรีของเธอตอนที่เธอได้ยินเสียงหนึ่ง และได้หันไปเผชิญหน้ากับ สิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงตัวใหญ่ มันมีดวงตาที่ใหญ่โตและกระดูกโหนกแก้มนูนขึ้นมา ตัวของมันปกคลุมด้วยขนสีดำและน้ำตาลแดง มันตรงเข้าคว้าตัวเธอ และแยกเธอไปยังลำธาร แต่ดูเหมือนเสียงกรีดร้องของเธอจะทำให้สัตว์ตัวนั้นตกใจจนปล่อยเธอลง จากนั้นมันก็เข้าโจมตีจามรีสองตัวของเธอ มันฆ่าตัวหนึ่งโดยการทุบ และอีกตัวโดยการจับเขามันและบิดคอ เหตุการณ์นี้ได้ถูกรายงานไปยังตำรวจของท้องถิ่นและตรวจพบรอยเท้าของมัน เวบเบอร์กล่าวว่า "เธอจะหลอกเราไปเพื่อเหตุใดกันล่ะ ข้อสรุปของผมคือว่าเด็กคนนั้นพูดจริง"

        หลักฐานของเยติแบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่ๆ คือ รอยเท้า , ผู้ที่พบเห็นตัวมัน และหลักฐานทางกายภาพ เช่น กะโหลก และหนังของมัน

        รอยเท้า เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสนใจอย่างมาก มีการรายงานถึงรอยเท้าของมันโดยชาวตะวันตกตั้งแต่ปี 1887 และจากนั้นโดยเจ้าหน้าที่ของกองทัพอังกฤษผู้หนึ่ง บนเทือกเขาเอเวอร์เรสท์ที่ระดับความสูง 6,400 เมตร ในปี 1921 มันเป็นรูปถ่ายรอยเท้าที่น่าสนใจ เอฟ เอส สมิธธี เป็นคนแรกที่ถ่ายภาพไว้ที่ความสูง 5,029 เมตร ในปี 1937 ภาพถ่ายของ อีริค ชิพตั้น ที่ถ่ายโดยมีขวานขุดหิมะวางไว้ข้างๆ เพื่อเทียบ~เซ็นเซอร์~ส่วน เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาอย่างจริงจัง ในปี 1978 แม็คนีลลี่ และดครนิน นักสำรวจชาวอเมริกันพบรอยที่ชัดเจนและลึกพอที่จะหล่อปูนปลาสเตอร์ได้ ในปีถัดมา ลอร์ดฮันท์ ได้พบรอยเท้าและรูปที่ได้เขาถ่ายมาในปี 1978 ได้แสดงให้เห็นถึงรอยเท้าที่มีขนาดใหญ่โต ยาว 35.6 เซนติเมตร และกว้า 17.7 เซนติเมตร

        ในการบรรยายที่ รอยัล จีโอกราฟฟิค โซไซเอตี้ ในกรุงลอนดอน ลอร์ดฮันท์ได้กล่าวว่า "พวกเราอยู่ด้านข้างของหุบเขาตอนล่างของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ มันเป็นตอนหัวค่ำและเริ่มจะมืด ผม และภรรยาได้เดินมาพบรอยเท้า พวกมันยังใหม่อยู่ และผมบอกได้เลยว่ามันเกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน มีหิมะที่ลึกบนทางที่ค่อนข้างชันและสิ่งมีชีวตนั้นหนักเอาการทีเดียว เพราะมันกดทับหิมะลงไปเป็นผิวที่แข็ง จนพวกเราเดินไปบนนั้นได้โดยไม่สร้างร่องรอยใดๆ เลย รอยเท้าเป็นรูปไข่ขนาดใหญ่ ผมวางขวานขุดน้ำแข็งลง -ข้างๆ เพื่อวัดได้ความยาว 35 เซนติเมตร และ กว้างประมาณครึ่งหนึ่งของความยาว"ลอร์ด ฮันท์ ผู้ที่ได้เห็นรอยเท้าของมันหลายครั้งหลายหน ในช่วงประมาณ 30 ปี และได้ยินสิ่งที่เรียกว่า "เสียงกู่ร้องโหยหวน" "เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใดได้นอกจากว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฎหลักฐานที่ยังต้องทำการค้นหากันต่อไป"

        ศัลยแพทย์นักไต่เขาชาวอังกฤษ ไมเคิล วาร์ด อยู่กับ อีริค ชิพตั้นในปี 1951 เมื่อเขาได้ทำการบันทึกภาพรอยเท้าไว้ "พวกเราอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์" - เขาบอก "และเราข้ามเขตภูเขากว้างใหญ่ในระดับความสูงประมาณ 5,791-6,961 (19,000-20,000 ฟุต) และเข้าไปในเขตที่เรียกว่า "ช่องว่าง" บนแผนที่อันเป็นที่ที่แผนที่ปรากฎเป็นสีขาวสะอาดและไม่มีลักษณะภูมิประเทศอยู่เลย" บนธารน้ำแข็งสายหนึ่งมีร่องรอยของแพะภูเขาเดินข้าม ในทัใดนั้นเขาก็เห็นรอยอื่นอีก

"เป็นรอยที่ชัดเจนและมีความแตกต่างอย่างมาก เราสามารถเห็นนิ้วโป้งของทุกรอยได้ รอยนั้นตรงไปตามธารน้ำแข็งไกลหลายไมล์จนมองไม่เห็น ความรู้สึกของผมบอกว่ารอยพวกนี้ อาจเกิดขึ้นในตอนกลางคืนหรือรุ่งเช้าของวันนั้นเอง เพราะไม่มีรอยเลอะเลือนที่ขอบของมันเลย ในบางแห่งคุณจะเห็นได้เลยว่ามีรอยที่สัตว์ตัวนี้กระโดข้ามช่องน้ำแข็งเล็กๆ โดยจะเห็นรอยนิ้วเท้าอย่างชัดเจน คุณจะเห็นได้ในรูปเหล่านี้ รอยเท้าจมลึกเกินกว่าที่คนอย่างเราจะทำได้ เราอาจจะตามรอยถ่ายภาพมันไปให้ไกลกว่านี้สักหน่อยถ้าเสบียงอาหารของเราไม่ร่อยหรอลง และพวกเราก็ยังมีเป้าหมายหลักที่จะเดินทางไปยังประเทศที่ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อนเลย ไม่เพียงแต่ชาวเชอร์ปาและชาวธิเบตที่ยังไม่เคยไป แต่รวมถึงชาวยุโรปด้วย"

        ต่อจากนั้นทั้งชิพตั้นแลวาร์ด ก็หลงเข้าไปในเขตธิเบตและถูกจับกุมโดยทหารรักษาการณ์ของกองทัพธิเบต เพียงเพื่อเรียกค่าไถ่ในราคาคนละหนึ่งปอนด์เท่านั้น

        ในมุมมองของคนช่างสงสัยก็ว่า รอยเท้านั่นเป็นของ สัตว์พันธุ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภาวะแวดล้อมของดวงอาทิตย์และหิมะ อาจจะเป็นหมีสีฟ้า (BLUE BEAR) - ของธิเบต ซึ่งโดยตัวของมันเองก็เป็นสัตว์ที่หายากแทบจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว หรืออาจเป็นลิงแลงกูร์ (LANGUR MONKEY) ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ว่าอาศัยอยู่ที่ระดับความสูงดังที่กล่าวมา แม้แต่เสือดาวหิมะก็ยังถูกนำเข้ามาร่วมด้วย และจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนส่งไปยังนิตยสารของอังกฤษ COUNTRY LIFE ได้เสนอความเห็นว่ามันอาจเป็นนกอีกาปากแดง (ALPINE GHOUGH) ซึ่งจากที่เคยมีการเฝ้าดูมันได้ทิ้งรอยเท้าที่เหมือนกับมนุษย์หิมะเมื่อมันกระโดดขาเดียวไปบนหิมะ

        อย่างไรก็ตามนักสัตววิทยา ดับเบิ้ลยู เซเนสกี้ จากมหาวิทยาลัยควีนแมรี่ลอนดอน ได้ทำการวิเคราะห์รอยเท้าที่ชิพตั้นพบอย่างละเอียด โดยการสร้างแบบจำลองขึ้นมาใหม่และเปรียบเทียบมันกับรอยเท้าของลิงกอริลล่า, มนุษย์ยุคหิน และมนุษย์ ไม่มีรอยใดที่มีนิ้วเท้าทั้งสองที่กว้างใหญ่ และมีกระดกอุ้งเท้าที่สั้นผิดปกติเช่นนี้เลย เขาวินิจฉัยออกมา-ว่ารอยเหล่านั้นไม่มีส่วนใดที่คล้ายกับหมีหรือลิงแลงกูร์เลย "หลักฐานทั้งหมดแสดงออกมาว่าสิ่งที่เราเรียกกันว่า มนุษย์หิมะนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสองเท้าที่มีโครงสร้าง
ใหญ่และหนาทึบ เป็นไปได้มากกว่า เป็นชนิดเดียวกันกับซากฟอสซิสของ GIGANTOPITHECUS
" ข้อวินิจฉัยเช่นนี้ทำให้เยติใกล้จะเป็น "ห่วงโซ่ที่หายไป" ดังที่นักวิท-
ยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางคนกล้ายอมรับ

        กับผู้คนที่เคยเห็นรอยเท้าของจริง ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีภูมิหลังที่ไม่เคยเชื่อเรื่องของเยติเลย กัปตัน เอมิล วิคค์ นักบินชาวสวิสที่ได้มาทำงานให้กับสายการบินแห่งชาติเนปาล เขามีบ้านที่สวยงามที่ชานเมืองกาฎมันฑุ เขานั่งอยู่ในสวของเขาในเย็นวันหนึ่งพร้อมทั้งเบียร์ขวดหนึ่ง ดวงตาของเขามองตรงไปข้างหน้าขณะเล่าเรื่องให้ฟัง

"พระเจ้า ผมบอกคุณได้เลยว่าผมไม่เคยมีความสนใจเลยสักนิดกับเจ้าเยติบ้าๆ นั่น เมื่อผมมาที่เนปาล ผมาเพื่อขับเครื่องบินเล็กใกล้กับภูเขาให้กับนักท่องเที่ยวและก็เพื่อเป็นการหาความสนุกให้กับตัวเองเมื่อไม่ได้ทำงาน เหมือนกับที่ผมทำเมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ และอินโดนีเซียและที่อื่นๆ ดังนั้นในเช้าวันหนึ่งปีที่แล้วผมจึงขับเครื่องบินให้กับชาวญี่ปุ่นไปยังยอดเขาคองเชนจุนก้า แล้วผมก็ได้เห็นรอยเท้านี้ในระดับที่สูงมาก มีสามรอยแยกต่างหากกัน เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตสองขา มันมาจากคนละด้านของสันเขาที่สูงชัน จากนั้นพวกมันก็เดินไปด้วยกันและลงไปที่ทะเลสาปแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน บางทีพวกมันมาที่นี่เพื่อดื่มน้ำก็เป็นได้ ผมรู้ว่านั้นเป็นหิมะที่เพิ่งตกใหม่และเป็นเวลาไม่เกินเจ็ดโมงเช้า ดังนั้นแสงอาทิตย์จึงยังไม่อาจเล่นตลกกับผมได้ ผมบินวนมาดูถึงสามรอบ แล้วคุณต้องไม่เชื่อแน่ มีหญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งนั่งข้างๆ ผมพร้อมด้วยกล้องถ่าย-รูป ผมก็เลยขอให้เธอช่วยถ่ายรูปเอาไว้ "แล้วผมจะให้คุณบินฟรี" ผมบอก แต่เธอกลับพูดว่า "เลิกบินวนเพื่อความสนุกของคุณซะทีเถอะ เราจ่ายให้คุณบินไปที่คองเชนจุนก้านะ-
นั่งเป็นที่ที่เราต้องการจะถ่ายรูป"

        บาทหลวง บอร์เดทท์ ชาวฝรั่งเศสจากสถาบันธรณีวิทยาของปารีสได้ตามรอยสามรอยเป็นจำนวนมากในการสำรวจปี 1955 จากนิตยสาร BULLETIN ของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ ณ กรุงปารีส เขาได้ให้การว่าเขาตามรอยรอยหนึ่งไปกว่าครึ่งไมล์ ในตอนนั้นรอยนั้นชัดเจนมาก เขาสามารถสังเกตเห็นรอยของแต่ละนิ้วได้ -เลย ณ จุดหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตนี้กระโดดลงมาจากกำแพงหินเล็ก ๆ ที่สูง 1-1.5 ม. รอยเท้าของมันจมลึกลงไปในหิมะถึง 15 เซนติเมตร หรือมากกว่านั้น หลวงพ่อบอร์เดทท์มีภาพถ่ายที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว จากนักวิชาการสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของฝรั่งเศสสองท่าน ซึ่งได้วินิจฉัยออกมาว่ารอยนั้นต้องเป็นของสัตว์ในสายพันธุ์ที่ยังไม่รู้จัก

      เลสเตอร์ เดวิด นักปีนเขาจากประเทศอังกฤษก็เกิดความสนใจในความลึกของรอยเท้าที่เขาได้ทำการถ่ายภาพยนตร์ไว้ในปี 1955 จากการสำรวจเทือกเขาหิมาลัยของกองทัพอากาศแห่งสหราชอาณาจักร

"มันจมลึกลงไปราวๆ 12.7-15.24 เซนติเมตร ด้วยกล้องถ่ายหนังและเป้หลัง ตัวผมก็มีน้ำหนักประมาณ 80 กก. ก็ยังสามารถทำรอยเท้าจมลึกลงไปแค่ 2.5 - 3 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ผมคิดว่าเจ้าตัวนั้นต้องมีขนาดใหญ่โตมาก"

        มีหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ บอกว่าพวกเขาเคยเห็นสิ่งมีชีวิตนั้นจริงๆ ดอน วิลเลี่ยม เป็นเจ้าของกิจการเกสท์เฮ้าส์ที่มีชื่อว่า เวลซ์ เขาเป็นคนที่เข้มงวดและก็จริงจัง ทั้งยังเป็นวีรบุรุษที่มีใจสู้ในการปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และคองเชนจุนก้า เขาอยู่ในแอนนาปุระในเดือนมิถุนายน ปี 1970

เราอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แอนนาปุระ อย่างที่เขาเรียกกัน ซึ่งเป็นระฆังใบหนึ่งบนเขาที่สูงมาก และผมก็รู้สึกกังวลในการหาที่พักแรมที่เหมาะสมในตอนกลางคืน และตอนที่เราเดินไปช้าๆ รอบปากหุบเขา ผมได้ยินเสียงอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนเสียงนกร้องมาจากข้างหลัง ผมมองไปที่ชาวเชอร์ปาแล้วเขาก็บอกว่า "เยติมาครับนาย" ดังนั้นผมจึงมองไปรอบๆ แล้วมองขึ้นไปบนภูเขา ผมเห็นอีกาสีดำสองตัวกำลังบินจากไป และได้เห็นเงาร่างสีดำร่างหนึ่งบนสันเขา ความคิดแรกของผมคือ "ทำไงดีล่ะ หยิบเอาขวานขุดหิมะออก-มาหรือไง " อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ปรากฎขึ้นมาอีก ดังนั้นผมจึงนบอกว่า "ไปหาที่ตั้งแคมป์กันเถอะ" วันต่อมา เราเดินขึ้นหุบเขต่อเพื่อทำการสำรวจวัดอย่างคร่าวๆ ทางด้านใต้ให้เสร็จ และผมก็เห็นรอยที่สิ่งมีชีวิตตัวนั้นทิ้งไว้อย่างชัดเจนในคืนก่อน รอยเท้าพวกนี้ลึกลงไปถึง 45 เซนติเมตร หิมะอ่อนนุ่มมาก และกะอยู่คร่าว ๆ ว่ารอยเท้าเหล่านั้นจะมี
ขนาดเดียวกับเท้าของผม ซึ่งสอดคล้องกันกับสิ่งที่ชาวเชอร์ปาบอกว่ามันเป็นลูกของเยติ ผมคาดว่าพวกเยติถ้ามีอยู่จรงก็คงมีหลายขนาดเหมือนกับมนุษย์นะแหละหลังจากนั้น-ในตอนเย็น มันเป็นค่ำคืนที่มีแสงจันทร์สว่างมาก ด้วยเหตุผลบางอย่างผมเกิดมีความรู้สึกที่รุนแรงมากกว่าเจ้าสัตว์ตัวนั้นยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ นี้แน่ ดังนั้นผมจึงโผล่หัวของ-
ผมออกไปนอกเต้นท์ แสงจันทร์สว่างมากจนผมสามารถอ่านหนังสือได้ ผมได้เฝ้าดูอยู่ประมาณสิบห้านาทีและเพิ่งจะมีความคิดว่า "เฮ้อ! ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรมันคงไปแล้วล่ะ" แล้วผมก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ถ้าคุณปีนเขามามากๆ แล้วคุมักจะชินกับการมองไปที่ภูเขาและมองเห็นภาพที่เล็กมากและเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เล็กๆ ได้ เจ้ตัวที่ผมเห็นนี้มีการเคลื่อนไหวที่คล้ายลิงท่าทางการเดินที่ตลกไปที่สิ่งหนึ่ง ซึ่งในหลายสัปดาห์ต่อมาเมื่อหิมะละลายจึงได้เห็นว่า มันคือพุ่มไม้ มันกำลังดึงกิ่งไม้บางกิ่ง ยังไก็เถอะผมก็ได้เฝ้ามองดูมันเกือบยี่สิบนาที ผมเอากล้องส่องทางไกลมาใช้ดูและทั้งหมดที่ผมสามารถมองเห็นได้ก็คือรูปร่างที่คล้ายลิงสีดำ จากนั้นในทันทีทันใดเหมือนกับว่ามันรู้ว่ามีใครกำลังจ้องมองมันอยู่ มันจึงวิ่งผ่านเหลี่อมเขาไป มันคงต้องเดินทางไปราวๆ ครึ่งไมล์ก่อนที่จะหายไปในเงามืดของหินบางก้อน สิ่งประหลาดสำหรับผมก๋คือท่าทางของชาวเชอร์ปา ถ้ามันเป็นหมีซึ่งเป็นสัตว์ที่พวกเขาคุ้นเคย เขาก็น่าที่จะบอกว่า "อ๋อ นั่เป็นบาร์ลูครับ" ซึ่งเป็นชื่อที่พวกเขาใช้เรียกมัน และมันก็จะจบลงแค่นั้น แตพวกเขาก็ต้องข่มความกลัวเอาไว้ถึงสองวัน แล้วถ้าผมลองเอ่ยหรือมองดูรอยเท้าผ่านกล้องส่องทางไกล ตลอดวันนั้นผมก็จะได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันปากต่อปากแน่

        ในปี 1975 นักไต่เขาชาวโปแลนด์ จานุสซ์ โทมาซัค ก็ได้พบกับความตะหนกเมื่อเขาขึ้นไปไต่เขาในเทือกเขาเอเวอร์เรสท์ และเกิดหัวเข่าเคล็ดขณะที่เขาเดินอย่างยากลำ-บากกลับไปยังที่พักบริเวณนั้น เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งใกล้เขามาเขาจึงตะโกนของความช่วยเหลือ ร่างนั้นจึงเดินเข้ามาตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่า "คน" ที่เขาเพิ่งจะร้องขอความช่วยเหลือนั้นเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายลิง มีความสูงมากกว่า 1.8 เมตร มีแขนยาวจนถึงหัวเข่า เสียงแหกปากร้องของเข้าได้ขับไล่มันจากไป

        เรื่องราวเช่นนี้เป็นเรื่องราวธรรมดาของชาวเชอร์ปา ในปี 1978 มีรายงานการรับควาจากเยติมากมาย โดยเฉพาะในเขตสิกขิม ซึ่งทางกรมป่าไม้ต้องส่งชุดปฏิบัติการณ์ออกสำรวจและไล่ล่าแต่ก็ปราศจากผล ความพยายามอย่างจริงจังที่สุดในการไขปริศนาของเยติได้รับการสนับสนุนจาก WORLD BOOK ENCYCLOPEDIA ของอเม-
ริกา ได้ทำการสำรวจในปี 1960 นำทีมโดย
เดสมอนด์ ดัวก์ และ เซอร์เอ็ดมัน ฮิลลารี่ ซึ่งเป็นชายคนแรก (โดยร่วมทางไปกับชาวเชอร์ปา ชื่อเทียนซิงก์) ที่ได้ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดของเขาเอเวอร์เรสท์ พวกเขาอยู่ที่นั้นเป็นเวลาสิบเดือน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บอย่างทารุณ ในบริเวณที่มีการรายงานมาจากนักล่าเยติมากที่สุด การสำรวจเต็มไปด้วยอุป-
กรณ์ต่างๆ เช่น กล้องถ่ายหนังเคลื่อนที่ , TIMELAPSE (การถ่ายภาพหมุนช้าและฉายในอัตราปกติ เช่นที่เราจะเห็นภาพดอกไม้ที่บานอย่างรวดเร็ว) และกล้องอินฟราเรด ได้
เกิดความตื่นเต้นไปทั่ว เมื่อฮิลลารี่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ชาวบ้านของหมู่บ้านคัมจุงกิ์ (KHUMJUNG) ให้เขายืมหนังหัวของเยติที่เป็นเสมือนตำนานไปเป็นเวลาหกสัปดาห์ ก็
เพื่อไปทำการทดลองทางวิทยาศาสต์ หนังหัวนี้พร้อมทั้งของอย่างอื่นอีกสองอย่างและหนังอีกสองชิ้น (ซึ่งต่อมาได้ถูกบ่งชี้ว่ามันเป็นหนังของหมีบูลแบร์ตัวหนึ่ง) ถือว่าเป็นซากที่หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของเยติ

        ฮิลลารี่และดัวก์ได้เดินทางออกไปในฤดูใบไมผลิพร้อมด้วยผู้ดูแลของหนังหัวนี้คือ คุนโจ้ ชุมบิ ในการเดินทางรอบโลกไปยัง ฮอนโนลูลู , ชิคาโก, ปารีส และแม้แต่พระราชวังบักกิ้งแฮม ในทุกๆ ที่ที่พวกเขาหยุดพัก ชุมปิได้เลียนเสียงร้องของเยติเป็นเสียงแหลมโหยหวนให้กับสถานีโทรทัศน์ ขณะเดียวกันนั้นก็ได้ระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญในการทด -
สอบหนังหัวนี้ เหมือนกับ
ฟีเนียส ฟอกก์ส์ ฮิลลารี่ และดัวก์ต้องกลับไปยังคัมจุงก์ภายในเวลา 42 วัน มิฉะนั้นตามข้อตกลง ที่ดินและทรัพย์สินของชาวเชอร์ปาของเขาจะต้องถูกยึด พวกเขามาถึงในวันสุดท้ายโดยโดยร่มลงมาจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมด้วยหนังหัวที่ถูกรักษาไว้ในกล่องของมัน น่าเสียดายที่มีการตรวจสอบพบว่ามันทำขึ้นมากจากแพะชีโรว์ (SEROW) การสำรวจด้วยกล้องและที่หลบซ่อนไม่มีโชคเลย ฮิลลารี่และดัวก์ได้ปล่อยให้เยติกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทพนิยายและตำนานต่อไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เปิดเผยว่าหนังหัวเป็นของปลอม และทุ่มเทเวลาเกือบปีในการพิสูจน์มันเท่าที่ประสบการณ์ และเทคนิคจะอำนวย

        ทุกวันนี้ในบ้านที่ปูพรมอย่างสวยงามซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับสถานทูตในกาฎมันฑุ เดสมอน ดัวก์ ยังคงสงสัยอยู่อย่างไม่เลิกราถึงการสำรวจในปี 1960 และเขาก็เปลี่ยนความคิดของเขาแล้ว ในตอนนี้เขาเชื่อว่าเยติยังมีอยู่จริง "แม้ว่าเราอาจจะไม่เคยเห็นเยติก็ตาม" เขากล่าว "เราไม่เคยเห็นเสือดาวหิมะเลยไม่ใช่หรือแต่เราก็รู้ว่ามันมีอยู่จริง การสำรวจในครั้งนั้นใหญ่โตเทอะทะมากเกินไป อีกอย่างในช่วงหลายปีต่อมาผมคิดว่าผมไขปริศนาของหนังหัวได้นะ" เขาได้ชี้ข้ามห้องไปยังสิ่งที่เป็นของจำลองที่สมบูรณ์แบบของหนัง
หัวจากคัมจุงก์ "ผมเดินทางไปยังสิ่งที่เป็นของจำลองที่สมบูรณ์แบบของหนังหัวกำลังสวมสิ่งนี้อยู่ ไม่มีอะไรมาก ปรากฎว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาทำมันขึ้นได้ปราณีตมาก และก็-
สวมมันแทนหมวก" ดังนั้นหนังหัวจึงกลายเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ แต่แม้ว่ามันจะเป็นของปลอม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเยติไม่ได้มีอยู่จริง

        ดัวก์ ผู้ที่ได้ใช้เวลาถึงสามสิบปีในเทือกเขาหิมาลัย และสามารถพูดภาษาของท้องถิ่นได้หลายภาษา ได้บอกว่าชาวเชอร์ปานั้นมีคำที่พูดถึงเยติได้สามอย่างต่างกัน นั่นคือ

       
ดซูท์เทห์ (DZUTEH) ซึ่งมีขนาดใหญ่ มีขนหยาบกระด้างไม่เป็นระเบียบ และมักจะมาโจมตีสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านเขาเกือบจะแน่ใจว่ามันคือหมีบลูแบร์ของธิเบต ซึ่งไม่เคยมีชาวตะวันตกคนใดเคยได้เห็นมัน แม้ว่าหนังของมันถูกพบครั้งแรกระหว่างทางไปยังเอเชียติก โซไซเอตี้ ในกรุงลอนดอนในปี 1853 สำหรับทุกวันนี้ หลักฐานการมีอยู่ของมันเท่าที่เราได้รู้ก็คือหนังของมันจำนวนครึ่งโห กะโหลกหนึ่งใบ และกระดูกบางชิ้น "ครั้งหนึ่งผมเคยพบสุภาพสตรีชาวธิเบตผู้หนึ่ง เธอบอกแก่ผมว่า มีหมีบลูแบร์ตัวหนึ่งใน-
สวนสัตว์ของพันเชนลามะ ในชิเกต ธิเบต" ดัวก์กล่าวตัว "
เธอบอกว่ามันเดนด้วยขาสองขาและตัวใหญ่เท่ากับผู้ชายสูงๆ คนหนึ่ง และมีหน้าตาที่คล้ายกับลิงหรือหมี" โชคร้าย-ทีสวนสัตว์ทั้งหมดถูกกวาดล้างไปหมดด้วยน้ำท่วม

        เธลม่า (TEHLMA) แปลว่า "ชายตัวเล็ก" ซึ่งวิ่งไปพลางร้องไปพลาง และชอบสะสมกิ่งไม้ ดัวก์กล่าว "ผมไม่คิดว่ามีปัญหากับเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันเป็นลิงกิบบอน (GIB- BON) แม้ว่านักสัตวศาสตร์ความเป็นอยู่ของสัตว์จะบอกว่าเราไม่อาจพบมันได้ทางตอนเหนือของแม่น้ำบรามาปูทระ ในอินเดียก็ตาม

        มนุษย์หิมะ ที่แท้จริงตำนานโดยคำกล่าวอ้างของดัวก์มันเรียกว่า มิห์เทห์ (MITH TEH) มันป่าเถื่อน และลักษณะคล้ายลิง กินเหมือนมนุษย์ ปกคลุมไปด้วยขนสีดำแดง มีความคลสสิคอยู่ที่ "นิ้วเท้าที่กลับหัวกลับหางกัน" และออกหากินในระดับความสูง 6,096 เมตร หรืออาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ

        ในปี 1961 เราได้ปล่อยให้ มิห์เทห์กลายเป็นเพียงเทพนิยาย แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเราเข้าใจผิดนะ ผมมักจะแสดงให้ชาวเชอร์ปาผู้ที่อ้างว่าเคยเห็นมิห์เทห์ ว่ามันเป็นหมีชนิดหนึ่งหรือมนุษย์ที่มีความแตกต่างกันออกไป ผมวาดรูปของมนุษย์ยุคนีแอนเดอร์ธาลล์และ GIGANTOPITHECUS , กอลริล่า , ชิมแปนซี , ลิงกิบบอน และอุรังอุตัง แม้ว่า-พวกเขาจะไม่มีความรู้ และไม่ว่าลิงใหญ่นั้นจะเป็นอะไรก็ตาม พวกเขาก็มักจะชี้ลิงตวหนึ่งซึ่งมักจะเป็นลิงอุรังอุตังอยู่เสมอ เรารู้จากฟอสซิลว่าครั้งหนึ่ง เามีอุรัอุตังอาศัยอยู่-ทางตอนเหนือของอินเดีย ใครจะรู้ได้ล่ะในเมื่อยังมีป่าทึบซึ่งสามารถซ่อนเผ่พันธ์ทั้งหมดของเติเอาไว้ได้ บางทีการเดินทางไกลที่ยากลำบากไปบนเขาสูงชัน คงเป็นอย่างที่ -บาทหลวง เบอร์เดทท์ได้ให้ข้อคิดเห็นเอาไว้ว่า เพื่อหาน้ำ ซึ่งแหล่งน้ำของมันคงจะแห้งแล้งในเขตล่างของป่า

        เรื่องเล่าอื่นๆ ของเยติในหมู่ชาวเชอร์ปา การพบเห็นโดยชาวตะวันตกและเหนือสิ่งอื่นใดรอยเท้าที่ขณะนี้มีการบันทึกเอาไว้มากกว่า 20 รอย รวมทั้งภาพที่ได้นำกลับมาในคริสมาสต์ปี 1979 จากการสำรวจของกองทัพอากาศรักษาพระองค์ พวกชาวสงสัยได้ตั้งคำถามว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะหาอาหารจากที่ไหนในสถานที่เช่นนั้น ผู้ที่เชื่อถือบอกว่า ก็มีแมวภูเขา (LYNX), หมาป่าขนยาว(WOOLY WOLF), แพะภูเขา (IBEX) และจามรี ยังหากินอยู่ในที่ที่สูงเกินกว่า 5,486 เมตร ได้เลยนี่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับภาพถ่ายเช่นของ ชิพตั้มและลอร์ด ฮันต์ ซึ่งดูเหมือนจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารอยเท้าของสัตว์ตัวนั้นจะต้องหนักกว่ามนุษย์มาก มันสามารถจะเดินเป็นระยะทางไกลด้วยขาสองขา และทิ้งรอยเท้าที่ไม่เหมือนสัตว์ชนิดอื่นที่เรารู้จักกันเลย

ความคิดเห็น (0 ความคิดเห็น)

รายชื่อผู้กระทำผิด|Archiver|ดิสคัส ไทย Follow us: Become a fan on facebook. Follow us on Twitter.

GMT+7, 2024-5-7 06:51

Powered by Discuz! X3.4, Rev.66

Copyright © 2001-2021 Tencent Cloud. Licensed

ขึ้นไปด้านบน